ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ "น้ำหนักของคุณค่า" ที่มนุษย์มอบให้กับสิ่งรอบตัว
- songrad banyen
- Jun 8, 2018
- 1 min read
Updated: Jun 11, 2018
ในวันหนึ่งๆเราได้เจอผู้คนมากมาย ไม่ว่าท่ามกลางความสับสนของสังคมเมือง หรือแม้แต่ความเงียบสงบของท้องถิ่นต่างจังหวัด เราก็ไม่สามารถที่จะหนีชีวิต หรือปลีกตัวเองออกให้ห่างจากสังคมได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเราต้องมีการข้องเกี่ยวกันเองระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ เรามักได้ยินกันอยู่เสมอว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” แม้บางครั้งเราเอาคำดังกล่าวมาอ้างเพื่อแสดงถึงความต้องการส่วนตัวของตัวเอง เช่นมนุษย์บางประเภทจะมีความเหงาและมีความต้องการที่จะพบปะผู้คนตลอดเวลา เราก็จะเอาคำนี้ขึ้นมาอ้างว่า “ก็เราเป็นสัตว์สังคม” เป็นต้น แม้ก็มีคนบางประเภทไม่ได้มีความต้องการที่จะพบปะผู้คนหรือชื่นชอบการสุงสิงกับผู้อื่นแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นสัตว์สังคมเหมือนกัน ซึ่งรูปแบบและวิธีการแสดงออกของแต่ละคนที่มีต่อมนุษย์กันเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความเหมือนกัน คุณว่าจริงมั้ย? นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพ เกี่ยวกับเรื่องราวที่เราทุกคนมีการตีความให้กับสถานการณ์หรือแนวคิดแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน นั่นรวมไปถึงการให้คุณค่ากับวัตถุหรือแม้แต่การให้คุณค่าของตัวเองด้วย
ลองมองดูเรื่องราวในสมัยนี้ด้วยความที่เทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น ทำให้สิ่งพื้นฐานที่เราใช้อยู่ทั่วไปเช่น เงินตรา ก็มีรูปแบบวิธีการใช้แบบใหม่ๆ ย้อนไปก่อนหน้านี้เราจะมีลักษณะการแลกเปลี่ยนเงินหรือทรัพย์สินที่ไม่เหมือนเดิน ซึ่งมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คือในสมัยโบราณเมื่อสัตว์สังคมอย่างมนุษย์มีการขยายตัวจากครอบครัวเดี่ยว เป็นครอบครัวขนาดใหญ่มากขึ้น จนขยายกลายเป็นชุมชน อย่างที่เราทราบกันดีว่า ยิ่งคนจำนวนมากขึ้นก็มีความต้องการเพื่อการดำรงชีวิตที่โตตามตัวไปด้วย แต่ด้วยความถนัดของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การแลกเปลี่ยนจึงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยการเริ่มใช้ของแลกของกันแม้ว่าการแลกเปลี่ยนโดยตรงจะช่วยให้ผู้คนในสังคมสมัยแรกๆ สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของที่ตัวเองไม่มีให้มีความเท่าเทียมกันได้ แต่การนำสิ่งของไปแลกสิ่งของก็ปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เช่นความยุติธรรมระหว่างปริมาณและความยากง่ายในการหาเพื่อให้ได้มา และแน่นอนว่าจะมีความซับซ้อนมากขึ้นตามสภาพสังคมที่หลากหลาย ทำให้ระบบดังกล่าวจึงเกิดปัญหาตามไปด้วย แต่มนุษย์ได้พัฒนาการแลกเปลี่ยนขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาเป็นเงินตราที่เราใช้ในปัจจุบัน ทั้งที่แม้แต่ตัวเงินตราเอง “ค่าของเงิน” มีมูลค่ามากกว่า “ค่าตัวของเงิน” เอง เช่นเงินตรามูลค่า 20 บาทก็จริง แต่ค่าของแบงก์ 20 บาท มีค่าน้อยกว่า 20 บาท เห็นด้วยมั้ย? และด้วยในสมัยนี้นอกจากเงินตราในลักษณะที่จับต้องได้แล้ว เรายังมีเงินตราที่เป็นแบบดิจิตอลอีกด้วย เงินตราดิจิตอลเป็นลักษณะของเงินที่เราไม่สามารถจับต้องได้จริง ๆ แต่มีมูลค่า บางคนก็ร่ำรวยจากเงินดิจิตอลเหล่านี้แล้วด้วย คำถามคือ ทำไมเราถึงให้มูลค่ากับเงินตราหรือทรัพย์สินมากกว่าค่าที่แท้จริงของตัวมันเอง? ทำไมบ้านลักษณะเหมือนๆกัน แต่ตั้งอยู่ในสถานที่ ที่แตกต่าง ถึงมีราคาที่แตกต่าง แม้บางแห่งตั้งอยู่ในโครงการหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ลักษณะบ้านก็เป็นลักษณะเดียวกัน ทำไมราคาแตกต่างกัน? ตอบได้ว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ "น้ำหนักของคุณค่า" ที่มนุษย์มอบให้กับสิ่งรอบตัว จึงทำให้ค่าของทุกอย่างไม่เท่ากัน เช่นบางครั้งเราตีค่าความสะดวกสบายของบ้านหลังหนึ่ง มากกว่าอีกหลัง เป็นต้น
มาถึงตอนนี้เราจะแยกให้เห็นเป็นสองส่วนตามที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดๆ คือทรัพย์สินที่มีการให้ค่าแบบตายตัว ซึ่งมูลค่าเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกระแสของตลาด กับทรัพย์สินอีกแบบหนึ่ง คือทรัพย์สินที่มีมูลค่าแบบไม่คงที่ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากราคาตั้งต้น โดยเปลี่ยนไปตามกระแสของสังคม เปลี่ยนแปลงได้ตามค่านิยม ตามความชื่นชอบของสังคม เป็นต้น ซึ่งเราลองมามองที่มูลค่าของทรัพย์สินในแบบที่สองกันคือ ทรัพย์สินที่มีมูลค่าแบบไม่คงที่ คุณคงเคยได้ยินสุภาษิตคำพังเพยว่า “ไก่ได้พลอย” ซึ่งหมายความว่า ”ได้สิ่งที่มีค่าแต่ไม่รู้คุณค่า” กันบ้างหรือไม่? แต่ถ้านึกคิดดี เราก็มีตัวอย่างให้ได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องราวในลักษณะนี่มากมาย เช่นของเก่าบางอย่างอาจจะดูไม่มีคุณค่าสำหรับคนบางกลุ่ม แต่เมื่ออยู่ในมุมมองของนักสะสมหรืออยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญแล้ว สิ่งของเหล่านั้นกลับเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล กลายเป็นของหายากและมีลายละเอียดที่สำคัญเฉพาะตัว ในแบบที่หาที่เปรียบเปรยไม่ได้ อย่างเช่นสถานที่ประวัติศาสตร์ หรือของโบราณที่มีเอกลักษณ์ แม้ภาพวาดที่ในมุมมองของคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้ความสนใจเฉพาะด้านก็จะเข้าไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นภาพวาดของศิลปินระดับโลก อย่าง Vincent Van Gogh ในสายตาของคนธรรมดาที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็ดูแล้วไม่เข้าใจและก็ไม่มีความคิดในหัวว่าจะซื้อหรือใช้จ่ายเงินเพื่อไปเข้าชมภาพในลักษณะแนวนี้ เพราะรับรองว่าถ้าคุณไม่มีความชื่นชอบหรือสนใจงานแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว ก็จะมองหาเสน่ห์ของภาพได้ยาก แต่ถ้าเป็นมุมมองที่นักสะสม และผู้รู้ได้มองรูปของ Van Gogh แล้วจะได้คำตอบว่าภาพของเขา มีเสน่ห์อย่างไรและมีความเป็นศิลปะที่ทรงคุณค่ามากแค่ไหน แม้ว่า ตลอดชีวิตของ Van Gogh เองมีผลงานมากกว่า 2,000 ชิ้น แต่ขายได้เพียงแค่ 1 ชิ้นเท่านั้นในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเขาได้ตายไปแล้วคุณค่าของผลงานของเขาก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก เรื่องราวในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย ไม่ใช่แค่ในวงการศิลปะเท่านั้น แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน อย่าง Nikola Tesla ซึ่งผ่านมา 100 ปีหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตลงไปแล้วถึงมีคนเข้าใจแนวคิดของเขาและมาสร้างเป็นประโยชน์ต่อโลกได้อย่างมหาศาล เป็นต้น พออ่านถึงตรงนี้แล้วเป็นไปได้ว่าว่าผลงานส่วนตัวของคุณเอง ที่คุณเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือแม้แต่ผลงานต่าง ๆที่คุณได้สร้างขึ้นมาแล้วในตอนนี้ หรือกำลังสร้างอีกไม่ช้าในอนาคตข้างหน้า ถึงคุณอาจจะโดนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะงานของคุณอาจจะยังเข้าไม่ถึงแนวคิดหรือมาตรฐานการตัดสินของคนในยุคนี้ หรือก็ไม่มีใครเห็นคุณค่าของผลงานของคุณได้เท่ากับที่ตัวคุณมองเห็นว่ามันเป็นงานที่สุดยอดและทรงคุณค่ามากแค่ไหน แต่ในอนาคตข้างหน้า ไม่แน่ว่าสิ่งที่คุณสร้างจะกลายเป็นทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลขึ้นมาจะทำอย่างไร?!? ดังนั้นการประเมินค่าทรัพย์สินจึงมีความสำคัญ กับคุณโดยตรง แม้ถ้าคุณไม่มีผลงานหรือผลิตภัณฑ์ของตัวคุณเองก็ตาม แต่อย่างน้อยมั่นใจได้เลยว่าคุณต้องมีทรัพย์สิน ที่คุณหามาได้หรือคุณได้ครอบครองมันอยู่ตลอดเวลาแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น บ้านของคุณ ยิ่งถ้าวันหนึ่งคุณต้องการที่จะขยับขยายเปลี่ยนแปลงสถานที่ หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณเองก็อาจไม่รู้ว่าที่ที่ใช้หลับนอนอยู่นี้ แม้ตอนที่คุณซื้อได้ในราคาถูกมาก และถนนใหญ่ก็ยังไม่ตัดผ่านหน้าบ้าน แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายสิบปี มีทั้งถนนตัดผ่านในไม่ช้าก็กำลังจะมีโครงการสร้างรถไฟฟ้าสาธารณะตัดผ่านถึงหน้าบ้านอีกด้วย คราวนี้ตัวคุณจะไม่มีทางรู้ด้วยตัวเองว่าบ้านหลังนี้มีมูลค่ามากแค่ไหน จริงมั้ย?
เป็นความโชคดีและยุติธรรมในการซื้อขายสินทรัพย์สำหรับคุณที่สุดแล้ว เพราะในปัจจุบันนี้มีการประเมินค่าทรัพย์สินอยู่ ลองคิดดูว่าถ้ามีการประเมินโดยการมีมาตรฐานหรือมีกระบวนการที่ให้เราเห็นถึงมูลค่าของสินทรัพย์ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรือประเมินราคาด้วยตัวเอง เพราะถ้าเราปล่อยให้มีการตีราคาหรือประเมินค่าทุกอย่างตามแต่ความต้องการของตัวเอง ก็จะกลายเป็นสิ่งที่วุ่นวายและไม่มีระบบมาตรฐาน เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ไก่ได้พลอย โดยที่กลายเป็นผู้เสียประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย.
โดย ทรงรัตน์ บานเย็น







Comments